10 ที่เที่ยวญี่ปุ่น สวยสะกดทุกหัวใจ 2016-11-01 08:55:23 | อ่าน 13,671 ครั้ง
ประเทศญี่ปุ่น มีภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเป็นหมู่เกาะกลางทะเลที่ทอดยาวอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยประมาณ 6,800 เกาะ แต่ละด้านของประเทศมีภูมิอากาศและลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป จึงทำให้แต่ละเมืองนั้นมีความสวยงามไม่เหมือนกัน และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซ่อนตัวอยู่อีกมากมายในญี่ปุ่น วันนี้จะขออาสาพาไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนของญี่ปุ่น ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีมุมมองในการเที่ยวญี่ปุ่นที่แตกต่างออกไป จะมีที่เที่ยวที่ไหนที่น่าสนใจบ้างนั้นตามเรามาเลยค่ะ
1. แช่อนเซ็นท่ามกลางป่าไม้หลากสีสัน ที่คุโรยุอนเซ็น (KuroyuOnsen) จังหวัดอาคิตะ
ท่ามกลางป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์บนเชิงเขา Nyuto-zan ในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ ฮาจิมันไท (Towada-Hachimantai National Park) คุโรยุอนเซ็น ได้ซ่อนตัวอยู่อย่างกลมกลืน ด้วยอาคารไม้เก่าแก่ดั้งเดิมที่เปิดบริการมาอย่างยาวนานมากกว่า 340 ปี สัมผัสกับการใช้ชีวิตช้า ๆ เหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีต ใส่ยูกาตะเดินชมความงดงามของดินแดนแห่งนี้ แล้วลงไปแช่อนเซ็นสีเมฆหมอกที่ส่องสะท้อนแสงไฟรำไรระยิบระยับในบ่อที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่กำลังผลัดใบเปลี่ยนสีเป็นสีสันต่าง ๆ ทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง ภายใต้ไอหมอกของผืนป่าและไอร้อนจากบ่ออนเซ็น พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์รอบข้าง แต่ถ้าหากใครชอบความเป็นส่วนตัวที่มีก็มีบ่ออนเซ็นในที่ร่มไว้บริการเช่นกัน
คุโรยุอนเซ็น ไม่ได้สวยเพียงแค่ฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น เพราะที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี ยิ่งในหน้าหนาว หิมะขาวโพลนจะปกคลุมไปทั่ว แต่บ่ออนเซ็นเหล่านี้จะช่วยคลายความหนาวได้เป็นอย่างดี และไม่ควรพลาดการจิบชาอุ่น ๆ แบบต้นตำรับชาวญี่ปุ่น พร้อมทั้งอาหารพื้นเมืองของคนท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้สัมผัส หากได้ลองไปเยือนสักครั้งจะไม่ร้องกลับบ้านแน่นอน
2. ยลโฉมศิลปะบนนาข้าวสุดอลังการ (Tanbo Art) หมู่บ้านอินาคะดาเตะ จังหวัดอาโอโมริ
ชวนมาตื่นตะลึงกับความคิดสร้างสรรค์ของคนญี่ปุ่น ที่เนรมิตนาข้าวธรรมดาให้กลายเป็นกระดาษผืนใหญ่ยักษ์ เพื่อนำต้นข้าวมาปลูกจินตนาการให้เติบโต จนเป็นงานศิลปะสุดอะเมซิ่ง บนผืนนาข้าวภายในหมู่บ้านอินาคะดาเตะ จังหวัดอาโอโมริ ในทุก ๆ ปี ชาวบ้านกว่าพันคนจะค่อย ๆ ช่วยกันบรรจงปลูกข้าวลงบนผืนนา โดยใช้พันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน ทั้งเขียว เหลือง ม่วง แดง มาปลูกลงบนนาข้าวเพื่อสร้างสีสัน แล้วใส่ปุ๋ย ให้น้ำต้นข้าวกินอย่างเต็มที่ จนมันเติบโตสมบูรณ์แล้วกลายเป็นภาพต่าง ๆ ตามคอนเซ็ปต์ในแต่ละปี โดยเรียกงานศิลปะนี้ว่า Tanbo Art
ซึ่งในปีแรก (1990) ก็ทำเอาโลกตื่นตะลึงไปเลยทีเดียวกับภาพของภูเขาไฟอิวากิ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพื้นที่แห่งนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนทุกปี หากต้องการชมความอลังการของนาข้าวเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องไปเช่าเฮลิคอปเตอร์ที่ไหน เพราะนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมนาข้าวได้จากด้านบนของหอคอย ที่อยู่ด้านหน้าของแปลงข้าว ช่วงที่ดีที่สุดในการไปชมศิลปะแห่งนาข้าว คือระหว่างเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน เที่ยวแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเที่ยวญี่ปุ่นแบบหลุดกรอบ
การเดินทาง
1. จุดชมศิลปะบนนาข้าวใกล้ที่ทำการหมู่บ้าน : จากสถานี JR Hirosaki เดิน 1 นาที จะถึงสถานี Konan Railway Hirosaki (Konan Line) นั่งรถไฟ 25 นาที ลงที่สถานี Inakadate แล้วต่อแท็กซี่ 5 นาที จะถึง Inakadate-mura Observation Platform
2. จุดชมศิลปะบนนาข้าวใกล้สถานี Tamboato : จากสถานี JR Hirosaki เดิน 1 นาที จะถึงสถานี Konan Railway Hirosaki (Konan Line) นั่งรถไฟ 23 นาที แล้วลงที่สถานี Tamboato หมายเหตุ มีบริการรถรับ-ส่งในช่วงเดือนที่มีการแสดงทันโบะอาร์ต โดยรถจะวิ่งไปมาระหว่างระหว่างจุดชมศิลปะบนนาข้าวทั้งสองแห่ง คือระหว่างหอคอย Inakadate observation platform และหอคอย Yayoi no Sato observation platform
3. ดื่มด่ำกับบรรยากาศโรแมนติกสุดขีด ที่สวนดอกไม้ฮิตาจิ ซีไซด์ พาร์ค (Hitachi Seaside Park) จังหวัดอิบารากิ
มหัศจรรย์แห่งดอกไม้บนพื้นที่กว่า 1,900,000 ตารางเมตร ซึ่งในแต่ละฤดูกาล สีสันของดอกไม้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่ซ้ำกัน จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนแห่งนี้ ได้รับประสบการณ์ในแต่ละวันไม่เหมือนกัน ดอกไม้นับพันนับล้านดอกจะบานสะพรั่งตลอดทั้งปีบนเนินเขากว้างที่มองได้ไกลสุดลุกหูลูกตา ดอกเนโมฟิลาจะออกดอกสีฟ้าม่วงไปจนสุดชายฝั่งทะเล สร้างความโรแมนติกแบบหวานละมุนในช่วงเดือนพฤษภาคม
ส่วนพุ่มโคเชียสีแดงสดจะมาสร้างความร้อนแรงให้พื้นที่แห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ด้านหนึ่งของสวนฮิตาจิ ซีไซด์ พาร์คคือที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ภาพของสวนดอกไม้แบบพาโนรามาสามารถมองได้จากบนนั้น หากอยากสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดก็สามารถเดินชมดอกไม้ไปตามทางเดินเล็ก ๆ รอบ ๆ สวน หรือจะปั่นจักรยานก็ได้เช่นกัน ลองจับมือใครสักคนเดินเล่นไปเรื่อย ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายและบรรยากาศสุดโรแมนติก รับรองได้เลยว่าประสบการณ์สุดแสนพิเศษนี้จะตราตรึงอยู่ในใจคุณไปตลอดกาล
การเดินทาง
เดินทางจากโตเกียว เริ่มต้นที่สถานี JR Ueno ขึ้นรถไฟสาย Joban ขบวนด่วนพิเศษ ใช้เวลา 70 นาที แล้วลงที่สถานี JR Katsuta เดินออกทางประตู East Exit แล้วไปต่อรถบัส Ibaraki Kotsu ที่ป้ายรถหมายเลข 2 นั่งไปอีกประมาณ 20 นาที แล้วลงที่ป้าย Kaihin Koen Nishiguchi ก็จะถึงสวน (หรือถ้านั่งแท็กซี่จากสถานี JR Katsuta จะใช้เวลา 15 นาที) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory
4. ชมหมู่บ้านโบราณท่ามกลางหุบเขา หมู่บ้านโกคายามะ (Gokayama Village) เมืองโทยามะ
เยี่ยมชมหมู่บ้านมรดกโลกอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งโอบล้อมไปด้วยหุบเขาสูงใหญ่ บ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมเรียกว่า Gassho-zukuri ตั้งอย่างโดดเด่นอยู่รอบหมู่บ้าน ลักษณะของบ้านจะมีทั้งหมด 3-4 ชั้น มีหลังคาทรงสูงเกือบ 60 องศา คล้ายกับการพนมมือ เพื่อป้องกันการถล่มของหิมะ อีกทั้งยังไม่ใช้ตะปูในการยึดเหนี่ยวโครงสร้าง ใช้เพียงภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านเท่านั้นในการสร้างบ้านเหล่านี้
นอกจากนี้ยังได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายและท้องทุ่งนาสีเขียวในช่วงหน้าฝน ยลโฉมท้องทุ่งนาสีเหลืองทองตระการตากลางหุบเขาที่ล้อมรอบบ้านโบราณ และชมบรรยากาศหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหิมะในช่วงหน้าหนาว พร้อมกับแสงไฟที่ปรากฏขึ้นรำไรในยามค่ำคืน ส่องสะท้อนให้เห็นหิมะสีขาวโพลนทั่วทั้งหมู่บ้าน ความงดงามทั้งหมดของหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995
แม้ว่าตลอดทั้งปี หมู่บ้านโกคายามะ จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ยังคงไม่เลือนหายไปก็คือวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ยามเช้าที่แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องสะท้อนกับหลังคาบ้าน นั่นก็เป็นเวลาที่บ่งบอกว่าได้เวลาที่จะออกไปดูแลไร่นา และเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแล้ว ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะมาพักค้างคืนหรือแค่แวะมาเยี่ยมชมไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้ดื่มด่ำกับเสน่ห์เหล่านี้แน่นอน พร้อมหรือยังที่จะไปแชะภาพสวย ๆ คู่กับหมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ เชื่อเถอะว่าบรรยากาศฉากหลังของคุณจะทำให้ใครหลายคนอิจฉาแน่นอน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory
5. สัมผัสพาวเดอร์สโนว์ที่รุสุสึ สกี รีสอร์ท (Rusutsu ski resort) เมืองฮอกไกโด
ความฝันแห่งการสัมผัสหิมะของคนเมืองร้อนจะปรากฏเป็นจริง ณ ที่แห่งนี้ รุสุสึ สกี รีสอร์ท เป็นสกี รีสอร์ทที่ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาถึง 3 ลูก ให้บริการกิจกรรมกีฬาฤดูหนาวอย่างครบครัน ความมหัศจรรย์ของสกีรีสอร์ทแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหิมะที่นี่ไม่เหมือนกับหิมะที่อื่น ๆ ด้วยมีความนุ่ม ละเอียด ราวกับแป้งไม่ว่าจะล้มจากการเล่นสกีสักกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับทำให้หลงใหลอยากทิ้งตัวลงไปนอนกลิ้งเกลือกนานเท่าที่จะทำได้ ให้หัวใจได้จดจำกับประสบการณ์สุดตื่นเต้น
ลองนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาสูง แล้วไหลลื่นลงไปตามเนินลาดเอียงของภูเขาสู่ด้านล่างด้วยสกีหรือสโนว์บอร์ดเพื่อนยาก ซึ่งมีเนินให้เลือกลื่นไถลมากกว่า 37 จุด พร้อมกับการชมทัศนียภาพของภูเขาสูงโดยรอบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวสวยงามระยิบระยับ เป็นกิจกรรมที่ทำให้หัวใจทำงานได้อย่างดีทีเดียว
รุสุสึ สกี รีสอร์ทคือสวรรค์ของคนรักหิมะโดยแท้จริง เพราะแต่ละปีจะมีปริมาณหิมะโปรยปรายลงมาสูงกว่า 13 เมตร เมื่อคุณจับมันขึ้นมาโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า มันจะลอยละล่องเบาราวกับปุยนุ่นเลยทีเดียว เพราะภายในหิมะประกอบด้วยอากาศถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหิมะที่นี่ที่ไม่เหมือนใครแน่นอน อยากไปสัมผัสหิมะสุดอัศจรรย์นี้กันหรือยัง ทริปญี่ปุ่นที่วางแผนไว้อย่าปล่อยให้ รุสุสึ สกี รีสอร์ท หลุดออกจากโปรแกรมท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคุณเชียว ลองไปสัมผัสสักครั้งแล้วคุณจะต้องหลงรัก
6. สัมผัสชีวิตซามูไรที่ปราสาทสึรุกะ จังหวัดฟุกุชิม่า
ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) หรือปราสาทนกกระเรียน ตั้งอยู่ที่เมืองไอสึ-วากามัตสึจังหวัดฟุกุชิม่า เป็นปราสาทเก่าแก่อายุมากกว่า 600 ปี สถานที่ซึ่งจะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของยุคสุดท้ายของเหล่าซามูไรในช่วงศตวรรษที่ 19
ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1384 มีการบูรณะล่าสุดในปี ค.ศ. 1965 ปัจจุบันมี 5 ชั้น โอบล้อมไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 1,000 ต้น เป็นจุดที่ชมซากุระบานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และในช่วงหน้าหนาว หิมะจะโปรยปรายปกคลุมทั่วทั้งปราสาท แสงสีเหลืองจากไฟที่ตกแต่งตัวปราสาทจะส่องสะท้อนออกมายามค่ำคืน ทำให้ปราสาทนกกระเรียนแห่งนี้มีมนตร์ขลังอย่างไม่น่าเชื่อ
7. ล่องเรือชิล ๆ ชมวิถีชีวิตชาวประมงเกาะซะโด
เกาะซะโด อยู่ห่างจากเมืองนีกาตะทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 45 กิโลเมตร ในอดีตพื้นที่ทางแถบเกาะซะโด เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ เป็นเมืองท่าในการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าระหว่างภูมิภาคฮอกไกโดและภูมิภาคอื่น ๆ ของญี่ปุ่น แต่เมื่อมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างรถไฟและเรือที่ทันสมัยมากขึ้น เกาะแห่งนี้ก็กลับสู่ความเงียบสงบ ชาวบ้านใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย วิถีชีวิตอย่างหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือการใช้ทะไรบุเนะ หรือเรือที่มีลักษณะคล้ายอ่างกลมใบเล็กในการเก็บหอยและสาหร่าย
นักท่องเที่ยวจะได้พบเห็นเรือลำน้อยนี้ลอยวนอยู่ริมชายฝั่งที่มีน้ำทะเลใสแจ๋วรอบ ๆ เกาะซะโด พร้อมกับฝีพายซึ่งเป็นชาวบ้านในชุดพื้นเมืองสีสันสดใสกับหมวกใบใหญ่ ที่จะพานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมยังเกาะแก่งต่าง ๆ เพื่อเก็บหอยและสาหร่ายตามแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านบนเกาะซะโด
ทั้งนี้นอกจากการล่องเรือเที่ยวแล้ว ภายในเกาะซะโดยังมีหมู่บ้านโบราณชุคุเนงิ (Shukunegi), เหมืองทอง, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน Sadokoku Ogi, การแสดงกลองไทโกะ, ละครโน, เรือเก่า Sengoku-bune ให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินชม หรือปั่นจักรยานเพื่อชมธรรมชาติไปด้วยก็ได้
8. ดื่มด่ำกับความโรแมนติกของอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย จังหวัดฟุกุโอกะ
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ภายในสวนคาวาจิ ฟุจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden) เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ จะกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของคนที่รักดอกไม้อย่างดอกวิสทีเรีย ด้วยต้นวิสทีเรียกว่า 150 ต้น รวม 22 สายพันธุ์ ในเฉดสีต่าง ๆ จะออกดอกบานสะพรั่งห้อยระย้าลงมาตามอุโมงค์ทางเดิน ระยะทางยาวกว่า 80 เมตร เมื่อผู้เข้าชมเดินเข้าไปยังอุโมงค์แห่งนี้ จะได้เห็นดอกวิสทีเรียอย่างใกล้ชิด และถูกโอบล้อมไปด้วยดอกวิสทีเรียสีสันต่าง ๆ พร้อมกับกลิ่นที่หอมหวานของดอกวิสทีเรีย จะทำให้ทุกคนหลงใหลในดินแดนแห่งนี้ไปอีกนานเท่านาน
ความงดงามไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่ในตัวอุโมงค์เท่านั้น เมื่อนักท่องเที่ยวเดินมาถึงที่ปลายสุดของอุโมงค์จะพบกับต้นวิสทีเรียอายุกว่า 100 ปี ที่ออกดอกเบ่งบานสร้างความสวยงามให้กับสถานที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน โดยดอกวิสทีเรียจะเผยโฉมให้นักท่องเที่ยวได้เห็นเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น คือในช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าใครพลาดจากการชมดอกวิสทีเรีย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ภายในสวนคาวาจิ ฟุจิ การ์เด้นก็มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้เข้าชมเช่นกัน
9. ตื่นตาตื่นใจและลิ้มรสความอร่อยจากข้าวกล่องตามสถานีรถไฟ
หัวข้อนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนญี่ปุ่น กับการตามหา "เอคิเบน" (Ekiben) หรือข้าวกล่องตามสถานีรถไฟต่าง ๆ ซึ่งการรับประทานอาหารบนรถไฟเป็นวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานของคนญี่ปุ่น จึงมีการริเริ่มจำหน่ายเอคิเบนครั้งแรกที่สถานีอุสึโนมิยะ (Utsunomiya station) จังหวัดโทจิกิ (Tochigi Prefecture) ในปี ค.ศ. 1885 และมีการพัฒนาเจ้าเอคิเบนเรื่อยมา
ปัจจุบันเอคิเบนเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางด้วยรถไฟ เพราะสถานีต่าง ๆ ก็จะมีเอคิเบนที่แตกต่างกันไป ผู้ผลิตแต่ละเจ้าต่างคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดในท้องถิ่นของตนมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ใส่จนในทุกขั้นตอนของการผลิต มีการจัดวางอย่างสวยงาม พร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด อีกทั้งรสชาติที่อร่อย กลมกล่อม ตามสูตรของตน จึงทำให้ข้าวกล่องหรือเอคิเบนของแต่ละสถานีมีเอกลักษณ์เฉพาะ เอคิเบนจึงเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องลิ้มลองกันดูสักครั้ง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory
10. หลงแสงสีและความงดงามของเมืองท่าโยโกฮาม่า จังหวัดคานากาวะ
ห่างจากกรุงโตเกียวไม่ไกลเท่าไรนัก คือที่ตั้งของเมืองท่าที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือ เมืองโยโกฮาม่า Yokohama City) จังหวัดคานากาวะ (Kanagawa) อดีตเมืองแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ มีประชากรแค่เพียง 600 คนเท่านั้น แต่เมื่อญี่ปุ่นมีการเปิดประเทศ เมืองแห่งนี้ก็กลายเป็นประตูของญี่ปุ่น มีเรือสินค้าต่าง ๆ มาลงที่เมืองแห่งนี้มากมาย จนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ปัจจุบันมีประชากรมากถึง 3,700,000 คน
แม้ว่าเมืองโยโกฮาม่าจะเคยผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 มา แต่ก็มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนกลับมาเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของญี่ปุ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมืองแห่งนี้ผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่นและวัฒนธรรมต่างชาติอย่างลงตัว
โดยรอบเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมายให้ได้เที่ยวชม พร้อมกับตึกสูง อาคารที่ทันสมัยที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล ยามค่ำคืนเมืองแห่งนี้จะทอแสงด้วยแสงไฟระยิบระยับจากตึกเหล่านี้ ส่องสะท้อนลงสู่ริมชายฝั่งทะเล กลายเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกเกินบรรยาย มันจะดีแค่ไหนถ้าได้จับมือใครสักคนล่องเรือไปตามริมชายทะเลเพื่อชมความงดงามเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานไปรอบ ๆ เมือง ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายและผ่อนคลาย เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ไม่จำเจแน่นอน
ประเทศญี่ปุ่น...ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวซ่อนตัวอยู่มากมาย แต่มันจะสวยงามและอัศจรรย์มากแค่ไหน คุณเท่านั้นที่จะรู้คำตอบได้ แล้วคุณจะตกหลุมรักญี่ปุ่นแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก kapook
|